เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2025 สหรัฐฯ และจีนได้บรรลุข้อตกลงลดภาษีสินค้านำเข้าระหว่างกันเป็นเวลา 90 วัน โดยสหรัฐฯ ลดภาษีจาก 145% เหลือ 30% และจีนลดจาก 125% เหลือ 10% การเจรจานี้ช่วยลดความตึงเครียดทางการค้า ส่งผลให้ราคาทองคำลดลง 1.4% มาอยู่ที่ $3,277.84 ต่อออนซ์ เนื่องจากนักลงทุนลดความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย
แม้ข้อตกลงดังกล่าวจะช่วยลดความกังวลในระยะสั้น แต่ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่อาจส่งผลต่อราคาทองคำในระยะกลางถึงยาว ดังนี้:
1. การประชุม FOMC และนโยบายอัตราดอกเบี้ยของ Fed
การประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีบทบาทสำคัญต่อทิศทางราคาทองคำ หาก Fed ส่งสัญญาณถึงการผ่อนคลายนโยบายการเงิน เช่น การลดอัตราดอกเบี้ย อาจส่งผลให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากต้นทุนโอกาสในการถือครองทองคำลดลง
2. ตัวเลขเงินเฟ้อ: CPI และ Core CPI
ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) และดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน (Core CPI) เป็นตัวชี้วัดสำคัญของระดับเงินเฟ้อ หากตัวเลขเหล่านี้สูงกว่าคาดการณ์ อาจกระตุ้นความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อและเพิ่มความต้องการทองคำในฐานะสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยง
3. ข้อมูลการจ้างงาน: Non-Farm Payrolls (NFP)
รายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ (NFP) เป็นตัวชี้วัดสุขภาพเศรษฐกิจ หากตัวเลขการจ้างงานต่ำกว่าคาดการณ์ อาจส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงและราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากนักลงทุนมองหาสินทรัพย์ปลอดภัย
4. ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์
สถานการณ์ความขัดแย้งในภูมิภาคต่างๆ เช่น ตะวันออกกลาง หรือความตึงเครียดระหว่างประเทศมหาอำนาจ อาจกระตุ้นความต้องการทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย หากสถานการณ์เหล่านี้ทวีความรุนแรงขึ้น ราคาทองคำอาจได้รับแรงหนุน
5. การเคลื่อนไหวของธนาคารกลางทั่วโลก
การซื้อทองคำของธนาคารกลางในประเทศต่างๆ โดยเฉพาะในเอเชีย เช่น จีนและอินเดีย มีผลต่ออุปสงค์ทองคำในตลาดโลก หากธนาคารกลางเหล่านี้เพิ่มการถือครองทองคำ อาจส่งผลให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น
แม้ว่าการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนจะช่วยลดความตึงเครียดในระยะสั้น แต่ปัจจัยอื่นๆ ดังกล่าวยังคงมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางราคาทองคำในอนาคต นักลงทุนควรติดตามข่าวสารและตัวเลขเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด เพื่อวางกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสม