ปกติแล้ว สงคราม อิสราเอล-อิหร่าน หรือความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์มักจะผลักดัน ทองคำ ราคา ให้สูงขึ้น เพราะทองคำถูกมองว่าเป็น “สินทรัพย์ปลอดภัย” (Safe-haven asset) ในยามวิกฤติ อย่างไรก็ตาม ในสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและอิหร่านที่ผ่านมา (และ ณ ปัจจุบัน) แม้จะมีความตึงเครียดสูง แต่ราคาทองคำอาจไม่ได้พุ่งแรงเหมือนสงครามในอดีตด้วยเหตุผลหลายประการ:
สงคราม อิหร่าน อิสราเอล “จำกัดวง” ของความขัดแย้ง (Limited Scope):
แม้จะมีการตอบโต้กันไปมา แต่ดูเหมือนว่าทั้งสองฝ่าย (รวมถึงชาติมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ) มีความพยายามที่จะ “จำกัด” ความขัดแย้งไม่ให้บานปลาย ไปสู่สงครามเต็มรูปแบบในระดับภูมิภาค ซึ่งจะส่งผลกระทบที่รุนแรงกว่ามาก
ตลาดประเมินว่าความขัดแย้งนี้ แม้จะตึงเครียด แต่ก็ยังอยู่ในระดับที่ “ควบคุมได้” หรือเป็น “สงครามเงา” มากกว่าสงครามแบบเปิดหน้าเต็มตัว ทำให้ความตื่นตระหนกในตลาดโดยรวมลดลงเมื่อเทียบกับสงครามในอดีตที่ส่งผลกระทบในวงกว้างกว่า
ตลาดได้ “ซึมซับ” ข่าว อิหร่าน อิสราเอล ไปแล้ว (Priced-in Effect):
ความตึงเครียดในตะวันออกกลางเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่องและยาวนาน ไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกะทันหันแบบไม่เคยมีมาก่อน
ดังนั้น นักลงทุนบางส่วนอาจได้ “ซึมซับ” ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์นี้เข้าไปในราคาของทองคำแล้วในระดับหนึ่งก่อนหน้านี้ ทำให้เมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้นจริง แรงซื้อเพื่อความปลอดภัยจึงอาจไม่มากเท่าที่คาด
ปัจจัยอื่นที่มีน้ำหนักมากกว่า (Dominant Factors):
ในปัจจุบัน ตลาดการเงินยังคงให้ความสำคัญกับ นโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) เป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอัตราดอกเบี้ย, เงินเฟ้อ, และทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ
อัตราดอกเบี้ยที่ยังคงสูง: แม้จะมีสัญญาณลดดอกเบี้ย แต่ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยของ Fed ยังคงอยู่ในระดับสูง ซึ่งทำให้ต้นทุนการถือครองทองคำ (ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ไม่มีผลตอบแทน) ยังคงสูงอยู่ และทำให้เงินดอลลาร์แข็งค่า ซึ่งเป็นปัจจัยกดดันราคาทองคำ
เงินเฟ้อ: แม้เงินเฟ้อจะเริ่มลดลง แต่ยังไม่ถึงเป้าหมาย 2% ของ Fed อย่างชัดเจน ทำให้การขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อยังเป็นประเด็นสำคัญที่นักลงทุนให้ความสนใจมากกว่าความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ยังไม่บานปลาย
ท่าทีของชาติมหาอำนาจ (Superpower Intervention):
สหรัฐฯ และชาติมหาอำนาจอื่นๆ ได้เข้ามามีบทบาทในการควบคุมสถานการณ์และส่งสัญญาณชัดเจนว่าไม่ต้องการให้ความขัดแย้งบานปลาย ทำให้ตลาดมองเห็นภาพรวมของความเสี่ยงที่ลดลง
การทำกำไร (Profit-taking):
ก่อนหน้านี้ ทองคำ ราคา ได้ปรับตัวขึ้นมาอย่างมีนัยสำคัญจากหลายปัจจัย (เช่น การซื้อของธนาคารกลาง, ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจโลก) ดังนั้น เมื่อมีข่าวสงครามเกิดขึ้น นักลงทุนบางส่วนอาจใช้โอกาสที่ราคาทองคำดีดตัวขึ้นชั่วคราวเพื่อ “ขายทำกำไร” ออกมามากกว่าที่จะเข้าซื้อเพิ่มเพื่อป้องกันความเสี่ยง
ลักษณะของสงครามสมัยใหม่:
สงครามในปัจจุบันมักจะไม่ใช่สงครามเต็มรูปแบบที่มีการประกาศอย่างเป็นทางการและกินเวลายาวนานเหมือนในอดีต อาจเป็นเพียงการโจมตีตอบโต้แบบจำกัดวง ทำให้ผลกระทบต่อราคาทองคำเป็นเพียงชั่วคราว
โดยสรุปคือ แม้ความขัดแย้งในตะวันออกกลางจะเป็นปัจจัยหนุน ราคาทองคำ ในระยะสั้น แต่ปัจจัยหลักด้านเศรษฐกิจมหภาค โดยเฉพาะนโยบายของ Fed และสถานการณ์เงินเฟ้อ รวมถึงการประเมินว่าความขัดแย้งยังคง “จำกัดวง” อยู่ มีน้ำหนักมากกว่า และกดดันไม่ให้ราคาทองคำพุ่งขึ้นอย่างรุนแรงและยั่งยืนเหมือนในสงครามครั้งก่อนๆ ครับ
ในฐานะ เทรดเดอร์ทองคำ การเฝ้าระวังปัจจัยเหล่านี้อย่างรอบด้านจึงเป็นสิ่งสำคัญมากครับ
