mm คืออะไร

เริ่มต้นปีใหม่ด้วยการตั้งเป้าหมายทางการเงินที่ชัดเจนและมีประสิทธิภาพ

mm คืออะไร ? ปีใหม่มักเป็นช่วงเวลาที่หลายคนตั้ง New Year Resolutions ไม่ว่าจะเป็นด้านงาน สุขภาพ ความรัก หรือแม้กระทั่งเรื่องสำคัญอย่าง การเงิน หรือ money management หากคุณยังไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร ลองมาดูเคล็ดลับง่ายๆ ในการตั้งเป้าหมายทางการเงินที่จะช่วยให้คุณจัดการเงินได้ดีขึ้นในปีนี้!

พลาดในปี 2567 เริ่มใหม่ในปี 2568 อ่านบทความ : “ขาดทุนในปี 2567 ไม่ได้หมายความว่าคุณแพ้ สู้ต่อในปี 2568 เพื่อก้าวสู่ความสำเร็จ”

5 ข้อ money management เริ่มต้นปีใหม่ ตั้งเป้าหมายการเงินอย่างไรดี ?

1. ตั้งเป้าหมายการเงินให้ชัดเจน mm คืออะไร ?

การมีเป้าหมายที่ชัดเจนเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการจัดการ การเงิน ไม่ว่าจะเป็นเป้าหมายระยะสั้นอย่างการเก็บเงินดาวน์รถ หรือเป้าหมายระยะยาวอย่างการเก็บเงินเพื่อเกษียณ การกำหนดเป้าหมายที่เป็นรูปธรรม เช่น “เก็บเงิน 200,000 บาทใน 2 ปีเพื่อดาวน์รถ” จะช่วยให้คุณสามารถวางแผนได้อย่างมีระบบและโฟกัสได้ดียิ่งขึ้น

เคล็ดลับ: เปลี่ยนเป้าหมายให้เป็นตัวเลขที่จับต้องได้ พร้อมระบุระยะเวลา เช่นนี้จะทำให้เป้าหมายของคุณชัดเจนและง่ายต่อการวางแผน

2. money management กับการ วางแผนการเก็บเงินให้เหมาะสม

หลังจากตั้งเป้าหมายชัดเจนแล้ว ขั้นตอนสำคัญคือการวางแผนเก็บเงินให้เหมาะสมกับเป้าหมายของเรา แต่ละเป้าหมายอาจมีวิธีการที่ต่างกัน บางครั้งการออมเงินอย่างเดียวก็เพียงพอ แต่บางครั้งอาจต้องเพิ่มการลงทุนหรือหาช่องทางสร้างรายได้เพิ่มเติม เช่น การเทรดทอง

  • ถ้าเป็นเป้าหมายระยะสั้น:
    เช่น การเก็บเงินไปเที่ยวหรือดาวน์รถ อาจแค่เก็บออมเงินอย่างมีวินัยก็พอ ไม่จำเป็นต้องเสี่ยงลงทุนในสินทรัพย์ที่ผันผวน
  • ถ้าเป็นเป้าหมายระยะยาว:
    อย่างการเก็บเงินเพื่อเกษียณหรือซื้อบ้าน การลงทุนอาจช่วยเพิ่มโอกาสให้เราบรรลุเป้าหมายได้เร็วขึ้น เช่น
    • ลงทุนในหุ้นหรือกองทุนรวม ถ้าเรารับความเสี่ยงได้
    • หรือเลือกตราสารหนี้ถ้าต้องการความมั่นคงมากกว่า
  • เพิ่มการเทรดทอง:
    สำหรับคนที่สนใจในตลาดทอง การเทรดทองอาจเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยในการเพิ่มรายได้ โดยเฉพาะถ้าเรามีความรู้และทักษะ เช่น การดูแนวโน้มกราฟ หรือการวิเคราะห์ข่าวเศรษฐกิจที่มีผลกระทบต่อราคาทอง
    • เริ่มจากการตั้ง เป้าหมายเล็กๆ ในการเทรด เช่น ทำกำไรวันละ 1-2% จากพอร์ต
    • ใช้ การบริหารความเสี่ยง (Risk Management) ให้รัดกุม เช่น กำหนดจุด Cut Loss
    • หรือถ้ายังไม่มั่นใจ อาจเริ่มจากการเทรดบัญชีทดลองก่อน

สิ่งสำคัญคือ การเทรดทองควรเป็นส่วนหนึ่งของแผน ไม่ใช่ทั้งหมด การผสมผสานระหว่างการออม การลงทุน และการเทรด จะช่วยให้เรามีทางเลือกและยืดหยุ่นในการเก็บเงินมากขึ้น

ลองประเมินตัวเองว่าถนัดแบบไหน แล้วเริ่มต้นจากสิ่งที่เรามั่นใจที่สุด การวางแผนแบบนี้จะช่วยให้เรามุ่งสู่เป้าหมายได้อย่างมั่นคงและเป็นธรรมชาติครับ

3. ติดตามเป้าหมายอย่างใกล้ชิด

การตั้งเป้าหมายเพียงอย่างเดียวไม่พอ คุณต้องติดตามผลอย่างต่อเนื่องด้วย อาจทำเป็นบันทึกหรือสรุปผลการเก็บเงินในแต่ละเดือน เช่น “เดือนนี้เก็บได้ 8,000 บาท เหลืออีก 192,000 บาทในอีก 24 เดือน”

การติดตามจะช่วยให้คุณทราบว่าตัวเองอยู่ในจุดไหนของเป้าหมาย และปรับเปลี่ยนแผนได้ทันหากมีปัญหา

ทริกพิเศษ:

  • พยายามเก็บเงินมากกว่าเป้าหมายเดิมประมาณ 10% เช่น หากต้องการเก็บเดือนละ 5,000 บาท ให้เพิ่มเป็น 5,500 บาท วิธีนี้จะช่วยให้คุณถึงเป้าหมายได้เร็วขึ้น

4. ให้รางวัลตัวเองเมื่อถึงเป้าหมาย

การเก็บเงินได้ตามเป้าหมายคือความสำเร็จที่ควรเฉลิมฉลอง ไม่ว่าจะเป็นการซื้อของขวัญให้ตัวเองหรือการไปเที่ยวที่ใฝ่ฝัน รางวัลเล็กๆ น้อยๆ นี้จะช่วยสร้างแรงจูงใจและความสุขในการเก็บเงิน

เคล็ดลับ: กำหนดรางวัลให้เหมาะสมกับเป้าหมาย เช่น หากคุณเก็บเงินได้เพื่อดาวน์รถ ก็อาจมอบรางวัลเป็นทริปขับรถไปเที่ยว หรือหากเก็บเงินได้เพื่อเกษียณ ก็อาจมอบรางวัลเป็นการฉลองกับครอบครัว

mm คืออะไร ? การเริ่มต้นปีใหม่ด้วยการตั้งเป้าหมายทางการเงิน money management ไม่ใช่เรื่องยาก ขอแค่มีเป้าหมายที่ชัดเจน วางแผนอย่างเหมาะสม ติดตามผล และอย่าลืมให้กำลังใจตัวเองตลอดทาง เท่านี้คุณก็จะมีปีที่มั่นคงและก้าวหน้าในทุกด้านของชีวิต!


โค้ชแจ็ค ณัฐนภนต์ ทศแสนสิน 

แบ่งปั่นบทความ

บทความที่น่าสนใจ

FOMO vs JOMO: เทรดยังไงให้ไม่โดนหลอก?

“เคยเป็นไหม? รีบเข้าซื้อเพราะกลัวตกรถ แต่สุดท้ายโดนเทขายใส่เต็มๆ” เห็นราคาทองพุ่งแรง ใจร้อนกลัวพลาด รีบกดซื้อ…พอเข้าปุ๊บ ราคากลับตัวร่วงเฉย หรือหุ้นบางตัวคนพูดถึงกันทั้งเมือง กลัวตกรถเลยรีบซื้อ…สุดท้ายติดดอยซะงั้น นี่แหละที่เรียกว่า FOMO (กลัวตกรถ) อาการที่ทำให้นักเทรดเสียเงินกันเยอะที่สุด! แต่รู้ไหม? เทรดเดอร์ที่อยู่รอดในตลาดได้นาน เค้าใช้หลักคิดแบบ JOMO (ดีใจที่พลาด) คือ ถ้าราคาไม่เข้าเงื่อนไข ก็ปล่อยผ่านไปเลย ไม่ต้องไล่ตาม เพราะโอกาสมีเสมอ! วันนี้ผมจะมาสอนวิธีเลิก FOMO เปลี่ยนเป็น JOMO เทรดยังไงให้ชัวร์ ไม่โดนตลาดหลอกง่ายๆ ไปดูกันเลย! FOMO (Fear of Missing Out) คืออะไร? FOMO คืออาการ “กลัวตกรถ” กลัวพลาดโอกาสทำกำไร จนรีบเข้าออเดอร์แบบไม่มีแผน เช่น: -เห็นราคาทองพุ่ง → รีบไล่ซื้อ → พอเข้าปุ๊บร่วง -เห็นคนอื่นบอกว่าหุ้นตัวนี้ดี → กลัวพลาดเลยรีบซื้อ → พอซื้อแล้วเจอเทขาย อาการของ FOMO เทรดเดอร์: JOMO (Joy of Missing Out) คืออะไร? JOMO คือ “มีความสุขกับการพลาด” หรือการยอมปล่อยโอกาสไป ถ้าราคายังไม่เข้าเงื่อนไขของแผนการเทรด เช่น: -รอให้ราคากลับมายังจุดที่ได้เปรียบ -รู้ว่าไม่มีจังหวะดี ก็ไม่เทรด รักษาเงินทุนไม่สนใจเสียงรอบข้าง เล่นตามแผนตัวเอง อาการของ JOMO เทรดเดอร์: เทรดยังไงให้ไม่โดนหลอก? 1. ตั้งเงื่อนไขให้ชัดก่อนเข้าเทรดถ้าราคายังไม่เข้าเงื่อนไข ห้ามเข้า เช่น 2. ใช้ Stop Loss & Plan การออกล่วงหน้าถ้าเทรดเพราะอารมณ์ มักจะไม่มีแผนออก จบที่ติดดอยเสมอ 3. หยุดดู Social Media เยอะเกินไปการดูข่าวหรือ Community เทรดเดอร์มากเกิน อาจทำให้ FOMO ตามอารมณ์คนอื่น ...

ความรู้ทั่วไป
Quantum Computing

Quantum Computing คืออะไรและมีความเป็นไปได้มากแค่ไหนที่จะสำเร็จในอนาคต

ในยุคที่เทคโนโลยีเติบโตอย่างรวดเร็ว คำว่า “Quantum Computing” หรือ “คอมพิวเตอร์ควอนตัม” ได้รับความสนใจอย่างมากในวงการเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ และธุรกิจ หลายคนอาจสงสัยว่า Quantum Computing คืออะไร ทำไมมันถึงเป็นหัวข้อที่ถูกพูดถึงกันอย่างกว้างขวาง และมีโอกาสมากแค่ไหนที่เทคโนโลยีนี้จะประสบความสำเร็จในอนาคต บทความนี้จะอธิบายพื้นฐานของ Quantum Computing พร้อมกับโอกาสและความท้าทายที่รออยู่ Quantum Computing หรือ “คอมพิวเตอร์ควอนตัม” เป็นรูปแบบการประมวลผลข้อมูลที่ใช้หลักการทางควอนตัมฟิสิกส์ (Quantum Physics) ซึ่งแตกต่างจากคอมพิวเตอร์แบบดั้งเดิมที่ใช้ระบบไบนารี (0 และ 1) ในการประมวลผลข้อมูล หลักการพื้นฐานของ Quantum Computing ต่างจากคอมพิวเตอร์ทั่วไปอย่างไร? คอมพิวเตอร์แบบดั้งเดิมต้องประมวลผลข้อมูลทีละขั้นตอน แต่ Quantum Computing สามารถประมวลผลหลายสถานะพร้อมกันได้ ซึ่งมีศักยภาพในการแก้ปัญหาที่ยากหรือเป็นไปไม่ได้สำหรับคอมพิวเตอร์ทั่วไป เช่น ความก้าวหน้าของ Quantum Computing ในปัจจุบัน ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา Quantum Computing ได้รับการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด หลายบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ เช่น Google, IBM, Microsoft และ D-Wave ได้ลงทุนในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีนี้อย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างความก้าวหน้าที่สำคัญ ได้แก่ ความท้าทายในการพัฒนา Quantum Computing แม้ว่า Quantum Computing จะมีศักยภาพสูง แต่ยังคงเผชิญกับความท้าทายหลายประการ เช่น ความเป็นไปได้ในอนาคตของ Quantum Computing ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า Quantum Computing จะมีบทบาทสำคัญในอนาคต โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่ต้องการการประมวลผลข้อมูลจำนวนมากและซับซ้อน เช่น ในระยะเวลา 10-20 ปีข้างหน้า คาดว่า Quantum Computing จะมีความก้าวหน้ามากขึ้น และอาจกลายเป็นเทคโนโลยีสำคัญในการแก้ไขปัญหาทางวิทยาศาสตร์และธุรกิจที่ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยวิธีการทั่วไป Quantum Computing เป็นเทคโนโลยีที่มีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงโลก แต่ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการพัฒนา แม้จะมีความท้าทายในการควบคุมและเสถียรภาพของระบบ แต่ด้วยความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และการลงทุนจากบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ เรามีโอกาสที่จะเห็น Quantum Computing กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนานวัตกรรมในอนาคต บทความโดย โค้ชอ๊อฟ กิตติวัฒน์ ...

ความรู้ทั่วไป
โดนัลด์ทรัมป์

5 เรื่องที่ต้องจับตาเกี่ยวกับการเทรดทองเมื่อ Donald Trump เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี

จากบทความที่แล้ว DX Academy เราได้ทำบทความเกี่ยวกับการรับมือ เมื่อ โดนัลด์ ทรัมป์ กลับมาบริหาร ตลาดการเงินคลิกเพื่ออ่านบทความ : โดนัลด์ทรัมป์ กลับมาบริหารงาน ตลาดผันผวน เราจะรับมืออย่างไร? 5 เรื่องที่ต้องจับตาเกี่ยวกับการ เทรดทอง 1.นโยบายเศรษฐกิจและการคลังของสหรัฐฯ Trump เคยเน้นการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการลดภาษีและการเพิ่มการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งอาจส่งผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจและอัตราดอกเบี้ยในสหรัฐฯ หากเศรษฐกิจแข็งแกร่งขึ้นและเฟดปรับขึ้นดอกเบี้ย ราคาทองอาจปรับตัวลดลงเนื่องจากต้นทุนโอกาสที่สูงขึ้นสำหรับการถือครองสินทรัพย์ที่ไม่มีผลตอบแทนเช่นทองคำ 2.นโยบายการค้าระหว่างประเทศ Trump ขึ้นชื่อเรื่องนโยบายการค้ากีดกัน เช่น การตั้งกำแพงภาษีกับจีนหรือการออกจากข้อตกลงการค้าเสรี หากมีความตึงเครียดทางการค้าหรือสงครามการค้าเพิ่มขึ้น จะกระทบต่อตลาดการเงินโลกและอาจทำให้นักลงทุนหันมาถือครองทองในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย 3. ความไม่แน่นอนทางการเมืองและความมั่นคงระหว่างประเทศTrump มักสร้างความเปลี่ยนแปลงในเวทีการเมืองโลก เช่น การปรับท่าทีทางการทูตและนโยบายต่ออิหร่านหรือเกาหลีเหนือ หากเกิดความไม่แน่นอนหรือความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ ราคาทองอาจปรับตัวสูงขึ้นเพราะความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยที่เพิ่มขึ้น 4. ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ (USD)Trump มักวิจารณ์เรื่องความแข็งค่าของดอลลาร์ หากรัฐบาลมีนโยบายที่ทำให้ดอลลาร์อ่อนค่า เช่น การกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศหรือนโยบายการเงินผ่อนคลาย จะทำให้ราคาทองในตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้น เพราะทองคำมีราคาถูกลงในสายตาผู้ถือเงินสกุลอื่น 5. อัตราดอกเบี้ยและนโยบายของเฟดในช่วงที่ Trump เป็นประธานาธิบดี เขามักกดดันธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้คงดอกเบี้ยต่ำเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ หากดอกเบี้ยต่ำต่อเนื่อง จะสนับสนุนการเพิ่มขึ้นของราคาทองเนื่องจากนักลงทุนจะหันไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีผลตอบแทนดีกว่า บทสรุป:การเทรดทองในช่วงที่ Donald Trump ดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีต้องอาศัยการจับตานโยบายและสถานการณ์ต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด เพราะแต่ละประเด็นที่กล่าวมามีผลกระทบโดยตรงต่อราคาทองคำในตลาดโลก ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว บทความโดยโค้ชอ๊อฟ กิตติวัฒน์ คล้ายมณี 

ข่าวสาร
Message us