การเปรียบเทียบระหว่างทองคำ และ Bitcoin ในฐานะสินทรัพย์ที่ช่วยป้องกันเงินเฟ้อในอนาคต มีทั้งข้อดี และข้อเสียแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับมุมมองและสถานการณ์ในตลาดเศรษฐกิจโลกดังนี้
ทองคำ
ข้อดี
- 1.เป็นสินทรัพย์มั่นคง : ทองคำถูกใช้เป็นแหล่งเก็บมูลค่ามานานนับพันปี และมีมูลค่าที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล
- 2.ความคงทนต่อความผันผวน : ราคาทองคำมักมีความผันผวนน้อยกว่า Bitcoin และได้รับความไว้วางใจจากธนาคาทั่วโลก
- 3.สินทรัพย์ที่จับต้องได้ : ทองคำเป็นของจริงและมีมูลค่าทางกายภาพ ไม่เสี่ยงต่อการสูญหายจากการโจมตีทางไซเบอร์
- 4.การป้องกันเงินเฟ้อที่พิสูจน์ได้ : ทองคำเคยแสดงให้เห็นว่าให้ผลตอบแทนที่ดีในช่วงเงินเฟ้อสูงมานับร้อยๆปี ซึ่งก็เป็นสิ่งยืนยันได้อย่างหนึ่งว่า ทองคำสามารถป้องกันเงินเฟ้อได้จริงๆ
ข้อเสีย
- สภาพคล่องต่ำกว่า Bitcoin : การซื้อขายทองคำอาจใช้เวลานานและมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม เช่น ค่ากำเหน็จ
- ไม่มีดอกเบี้ยหรือปันผล : ทองคำไม่สร้างรายได้เพิ่มเติม อย่าง Bitcoin ยังสามารถเอาเหรียญที่มีไป Staking เพื่อสร้างผลตอบแทนเพิ่มเติมได้
- การเก็บรักษา : ต้องมีสถานที่เก็บที่ปลอดภัยและต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม เช่น ฝากในตู้เซฟของธนาคาร
Bitcoin
ข้อดี
- 1.จำนวนจำกัด Bitcoin มีจำนวนทั้งหมดเพียง 21 ล้านเหรียญ ซึ่งสามารถช่วยลดความเสี่ยงจากการเพิ่มปริมาณเงินมากเกินไป
- 2.มีสภาพคล่องสูง : สามารถซื้อ-ขายได้ 24 ชั่วโมงทั่วโลก
- 3.ไม่ขึ้นกับรัฐบาลหรือธนาคารกลาง : ทำให้ Bitcoin มีความเป็นอิสระจากนโยบายการเงินที่ผิดพลาด
- 4.การยอมรับเพิ่มขึ้น : ในช่วงปีหลัง Bitcoin ได้รับการยอมรับจากทั้งนักลงทุนรายใหญ่และสถาบันเพิ่มมากขึ้น
ข้อเสีย
- 1.ความผันผวนสูง : มีความผันผวนสูงเกินไปไม่เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการเสถียรภาพ
- ความไม่แน่นอนในกฎระเบียบ : หลายประเทศยังไม่มีกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนเกี่ยวกับ Bitcoin
- ความเสี่ยงทางเทคโนโลยี : การโจมตีทางไซเบอร์หรือความผิดพลาดในระบบอาจจะกระทบต่อมูลค่าของ Bitcoin ได้ในอนาคต
สรุป
การป้องกันเงินเฟ้อในอนาคตอาจจะเป็นการลงทุนแบบผสมผสานทั้ง 2 สินทรัพย์เพื่อกระจายความเสี่ยงในการลงทุน โดยขึ้นอยู่กับเป้าหมายการลงทุนและระดับความเสี่ยงที่นักลงทุนแต่ละประเภทรับได้
โค้ชโอ๊ต ศรัญญู โกศินานนท์