รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการ

รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการ (Purchasing Managers Index)
ดัชนี PMI เป็นดัชนีที่ใช้เป็นตัวบ่งชี้สภาวะทางเศรษฐกิจของภาคการผลิตและภาคการบริการ ย่อมาจาก Purchasing Managers Index หรือก็คือ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ เป็นตัวเลขที่รายงานเพื่อให้ข้อมูลทางด้านสภาวะทางเศรษฐกิจต่อนักลงทุน นักวิเคราะห์ และประชาชนทั่วไป ซึ่งจะเป็นการสำรวจกลุ่มผู้ประกอบการฝ่ายจัดซื้อภาคเอกชน โดยมุ่งเน้นการสำรวจผ่าน 5 ตัวแปรหลัก ประกอบด้วย ยอดสั่งซื้อใหม่ ปริมาณสินค้าคงคลัง สายการผลิต การส่งสินค้าซัพพลาย และการจ้างงาน โดยจะสอบถามรวมไปถึงสภาพธุรกิจและการเปลี่ยนแปลงทั้งดีขึ้น เท่าเดิม หรือแย่ลง


หากกิจกรรมทางเศรษฐกิจจะมีแนวโน้มจะเติบโตในช่วง 1 ไตรมาสหน้า ทางผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อย่อมต้องเร่งสั่งซื้อวัตถุติบตั้งแต่วันนี้ ดังนั้น หากผลสำรวจผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อบ่งชี้ว่า มีการซื้อวัตถุดิบเพิ่มมากขึ้น ย่อมแสดงถึงแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจ


การใช้ดัชนี PMI นอกจากสะท้อนสภาวะทางเศรษฐกิจของภาคการผลิต และบริการในปัจจุบันแล้ว ยังสะท้อนมุมมองสภาพเศรษฐกิจในอนาคตอีกด้วย โดยดัชนีนี้จะมีค่าอยู่ที่ 0 – 100 โดยหากค่าตัวเลขที่ออกมามีค่าเกิน 50 จะเป็นตัวชี้วัดว่าระบบเศรษฐกิจมีการขยายตัว และจะไปหนุน USD แต่ถ้าตัวเลขใดออกมาต่ำกว่า 50 จะมีมุมมองว่าเศรษฐกิจหดตัว และมีแนวโน้มจะไปกดดันในส่วนของ USD

โดยตัวเลขที่ผ่านมาในช่วงเดือนก่อนหน้า จะเห็นว่าค่าจริงที่ออกมาจากฝั่งภาคการผลิต อยู่ที่ 47.9 ซึ่งบ่งบอกว่า ฝั่งของภาคการผลิตนั้นขยายตัวไม่มากเท่าที่ควรจะเป็น ส่วนภาคการบริการอยู่ที่ 55.7 ซึ่งแสดงถึงแนวโน้มว่ายังคงมีการขยายตัวอยู่เเต่ไม่ได้มากนัก เเต่ทั้งสองภาคทั้งการผลิตกับภาคการบริการ มีค่าที่บ่งชี้ไปในคนละทิศทาง แสดงถึงความไม่แน่นอนในภาพรวมของสภาวะทางเศรษฐกิจ ซึ่งค่าในครั้งนี้ที่กำลังจะออกมาตอนช่วง 20.45 รอบนี้ ด้านภาคการผลิตค่าคาดการณ์อยู่ที่ 48.6 และด้านภาคการบริการ มีค่าคาดการณ์อยู่ที่ 55.3 ซึ่งมองในมุมเศรษฐกิจตัวเลขคาดการณ์อาจบ่งบอกถึงภาพรวมเศรษฐกิจที่แย่ลงเล็กน้อยครับ

โค้ชนนท์

แบ่งปั่นบทความ

บทความที่น่าสนใจ

รายงานดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI : Producer Price Index)

ดัชนี PPI เป็นดัชนีที่ใช้เป็นตัวประเมินอัตราเงินเฟ้อในระดับผู้ผลิต โดยเฉพาะในระดับอุตสาหกรรมหรือผลิตภัณฑ์ และยังช่วยปรับมูลค่าการผลิต มูลค่าเพิ่ม และค่าใช้จ่ายขั้นกลางจากราคาปัจจุบัน เพื่อใช้วัดการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่แท้จริงของเศรษฐกิจที่เป็นผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ทั้งภาวะเงินเฟ้อจากฝั่งผู้ผลิต ภาวะการค้าของประเทศ งบประมาณรายจ่ายและนโยบายทางการเงิน นโยบายการผลิตและตลาด และการปรับสัญญาซื้อขายในระยะยาว แม้ว่าดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) กับดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) จะสามารถชี้ให้เห็นถึงระดับเงินเฟ้อในระบบเศรษฐกิจเหมือนกัน แต่ทั้ง 2 ดัชนีนี้ก็มีความแตกต่างกัน คือ PPI จะเป็นเครื่องมือที่แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงราคาสินค้าและบริการจากฝั่งผู้ผลิต ซึ่งตัวเลข PPI จะสามารถวัดการเปลี่ยนแปลงของราคาก่อนที่ผู้บริโภคจะซื้อสินค้าและบริการขั้นสุดท้าย ขณะที่ CPI เป็นเครื่องมือที่แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงราคาสินค้าและบริการจากฝั่งผู้บริโภคเท่านั้น โดยสรุปแล้ว ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ก็คือหนึ่งในมาตรวัดเงินเฟ้อที่มาจากฝั่งผู้ผลิต แต่ส่งผลกระทบไปทุกระดับ ทั้งผู้ผลิตเอง ผู้ขนส่ง จนถึงผู้บริโภค อีกทั้งยังส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจด้วย โดยตัวเลขที่ผ่านมาในช่วงเดือนก่อนหน้า จะเห็นว่าค่าจริงที่ออกมา 0.2% ซึ่งแสดงถึงแนวโน้มจากทางฝั่งผู้ผลิตยังคงปรับตัวขึ้นอยู่ โดยตัวเลขคาดการณ์ในครั้งนี้อยู่ที่ 0.1% ลดลงเล็กน้อยจากค่าจริงในเดือนที่แล้ว ซึ่งเป็นมุมมองจากนักวิเคราะห์ว่าต้นทุนจากฝั่งผู้ผลิตมีแนวโน้มปรับลดลงเล็กน้อย ซึ่งรอบเดือนที่แล้วที่ประกาศตัวเลข PPI ออกมา พฤติกรรมราคาทองคำจะปรับตัวรุนแรงขึ้นเป็น Trend ดังนั้น วันนี้เราก็อยากให้เทรดเดอร์ทุกท่านติดตามตัวเลขที่จะประกาศออกมาในคืนนี้อย่างใกล้ชิดด้วยครับ โค้ชนนท์

ข่าวรายวัน

ตัวเลข Non-Farm Payroll หรือ การจ้างงานนอกภาคเกษตร

ตัวเลข Non-Farm Payroll หรือ การจ้างงานนอกภาคเกษตร จะวัดจำนวนคนงานในสหรัฐอเมริกา ยกเว้นคนงานในภาคเกษตรกรรม ครัวเรือนส่วนตัว พนักงานองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร และทหารที่ประจำการ โดยรายงานจะจัดทำโดย สำนักงานสถิติแรงงาน (Bureau of Labor Statistics) โดยจะสำรวจหน่วยงานภาครัฐและเอกชนทั่วสหรัฐอเมริกาเพื่อรับข้อมูลเกี่ยวกับเงินเดือนของพวกเขา ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรมจะถูกรายงานต่อสาธารณะทุกๆ วันศุกร์แรกของเดือนเรามาทำความเข้าใจเรื่อง Nonfarm Payroll กันจากข้อมูลของสำนักงานสถิติแรงงานสหรัฐฯ การจัดประเภทพนักงานนอกภาคเกษตรคิดเป็นประมาณ 80% ของภาคธุรกิจของสหรัฐอเมริกาที่มีส่วนทำให้เกิดผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ดังนั้นการรายงานตัวเลขนี้จึงมีความสำคัญอย่างมากต่อสินทรัพย์ต่าง ๆ เช่นค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ (USD) : หากตัวเลขที่ออกมาสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ มักทำให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น เพราะจะสื่อถึงว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ แข็งแกร่ง ซึ่งอาจนำไปสู่การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หากต่ำกว่าที่คาดการณ์ ค่าเงินดอลลาร์อาจอ่อนตัวลงตลาดหุ้น : หากรายงานตัวเลขที่ออกมาแข็งแกร่ง อาจส่งผลดีต่อตลาดหุ้น เพราะมันบ่งบอกถึงความเจริญทางเศรษฐกิจและความสามารถของบริษัทในการขยายธุรกิจ อย่างไรก็ตาม ถ้าตัวเลขสูงเกินไป อาจทำให้นักลงทุนกังวลเรื่องการปรับขึ้นดอกเบี้ยที่เร็วขึ้น ก็สามารถส่งผลลบต่อหุ้นได้ทองคำ (XAUUSD) : ทองคำมักจะมีความสัมพันธ์ทางลบกับค่าเงินดอลลาร์ หากค่าที่ออกมาดีกว่าคาด ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่า ซึ่งอาจทำให้ราคาทองคำร่วงลง ในทางกลับกัน หากรายงานตัวเลขต่ำกว่าที่คาดการณ์ ทองคำอาจปรับตัวขึ้นได้โดยรายงานในเดือนที่ผ่านมา ตัวเลขออกมาที่ 142 K ตำแหน่ง ซึ่งต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้มากพอสมควร โดยในสัปดาห์นี้ตัวเลขคาดการณ์จากนักวิเคราะห์ออกมาที่ 148 K ตำแหน่ง ซึ่งถือว่าเพิ่มขึ้นจากตัวเลขจริงที่ออกมาเมื่อเดือนที่แล้วเล็กน้อย ซึ่งมุมมองจากค่าคาดการณ์อาจสื่อถึงการจ้างงานในสหรัฐเพิ่มมากขึ้นที่เป็นผลดีต่อภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ แต่ก็ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดเนื่องจากทาง FED จะเริ่มหันมาจับตามองเกี่ยวกับตลาดแรงงานมากขึ้น Non-Farm Payroll 04/10/2024 โค้ชนนท์ พงศ์พล สุภกรรม

ข่าวรายวัน

Job Openings and Labor Turnover Survey

คือการรายงานหรือการสำรวจตำแหน่งว่างงานใหม่ของสหรัฐฯ ที่จะประกาศออกมาเป็นรายเดือน ซึ่งดำเนินการโดยกระทรวงแรงงานของสหรัฐฯ เพื่อเป็นเกณฑ์ในการบ่งบอกอัตราตำแหน่งว่างงานในเดือนนั้นๆ โดยข้อมูลที่ประกาศออกมาจะเป็นข้อมูลเกี่ยวกับตำแหน่งงานที่ว่างในตลาดแรงงาน รวมถึงการหมุนเวียนแรงงาน โดยตัวเลขตำแหน่งว่างงานจะเป็นตำแหน่งทั้งหมดที่เปิดรับสมัคร ในวันทำการสุดท้ายของเดือน ซึ่งไม่รวมฝั่งอุตสาหกรรมการเกษตร โดยตัวเลขนี้จำชี้วัดตำแหน่งงานที่ว่าง ที่ยังไม่ได้รับการจ้างคนเข้าไปทำงาน ตัวเลข JOLTs นี้มีความสำคัญคือการให้ภาพรวมที่คลอบคลุมของตลาดแรงงานมากกว่าข้อมูลอัตราว่างงานรายสัปดาห์ มักจะถูกใช้เป็นหนึ่งในมาตรวัดสำหรับภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศสหรัฐอเมริกา ดังนั้นเราจะเห็นว่า เมื่อใดก็ตามที่มีประกาศตัวเลขนี้ กราฟมักจะมีความผันผวนเสมอ ซึ่งหากค่าประกาศออกมามากกว่าที่คาดการณ์ หรือว่างงานน้อยกว่าคาด จะเป็นการส่งเสริมความแข็งแกร่งให้กับค่าเงินดอลลาร์ ซึ่งก็จะกดดันให้ราคาทองคำปรับตัวลงได้ แต่หากค่าออกมาน้อยกว่าที่คาดการณ์ หรือว่างงานมากกว่าที่คาด จะเป็นการกดดันค่าเงินดอลลาร์ ซึ่งก็จะเป็นผลบวกต่อทองจากตัวเลขที่ออกมาล่าสุด จะเห็นว่าตำแหน่งว่างงานใหม่ของสหรัฐนั้นมีการปรับลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งแสดงถึงภาพรวมว่าตลาดแรงงานนั้นอ่อนแอลงอย่างเห็นได้ชัดเพราะตัวเลขรอบก่อนออกมาต่ำกว่าคาดการณ์พอสมควร โดยในวันนี้ ค่าที่คาดการณ์ออกมาจากนักวิเคราะห์มองว่าจะตำแหน่งว่างงานใหม่มีโอกาสลดลงจากเดือนก่อนหน้าเล็กน้อยที่ 7.640 ล้านตำแหน่ง ซึ่งถ้าออกมาตามคาดจริงก็จะแสดงถึงว่าตลาดแรงงานจะอ่อนเเอลงเล็กน้อย ดังนั้นเราอยากให้โฟกัสตัวเลขที่จะประกาศออกมาในคืนนี้ให้ดีหากมีการผิดคาด เพราะตัวเลขภาคแรงงานจะเป็นตัวเลขที่ทาง FED ต้องหันมาโฟกัสมากขึ้นเพราะจะส่งผลต่อการตัดสินใจปรับอัตราดอกเบี้ยในช่วงกลางเดือนพอสมควร นนท์ พงศ์พล สุภกรรม

ข่าวรายวัน
Message us