รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ PMI (Purchasing Managers Index)

ดัชนี PMI เป็นดัชนีที่ใช้เป็นตัวบ่งชี้สภาวะทางเศรษฐกิจของภาคการบริการ ย่อมาจาก Purchasing Managers Index หรือก็คือ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ เป็นตัวเลขที่รายงานเพื่อให้ข้อมูลทางด้านสภาวะทางเศรษฐกิจต่อนักลงทุน นักวิเคราะห์ และประชาชนทั่วไป ซึ่งจะเป็นการสำรวจกลุ่มผู้ประกอบการฝ่ายจัดซื้อภาคเอกชน โดยครั้งนี้จะเป็นการรายงานเกี่ยวกับภาคการบริการซึ่งเป็นผลต่อเนื่องจากภาคการผลิตเมื่อสัปดาห์ก่อนหน้า


หากกิจกรรมทางเศรษฐกิจจะมีแนวโน้มจะเติบโตในช่วง 1 ไตรมาสหน้า ทางผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อย่อมต้องเร่งสั่งซื้อวัตถุติบตั้งแต่วันนี้ ดังนั้น หากผลสำรวจผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อบ่งชี้ว่า มีการซื้อวัตถุดิบเพิ่มมากขึ้น ย่อมแสดงถึงแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจ


การใช้ดัชนี PMI นอกจากสะท้อนสภาวะทางเศรษฐกิจของภาคการผลิต และบริการในปัจจุบันแล้ว ยังสะท้อนมุมมองสภาพเศรษฐกิจในอนาคตอีกด้วย โดยดัชนีนี้จะมีค่าอยู่ที่ 0 – 100 โดยหากค่าตัวเลขที่ออกมามีค่าเกิน 50 จะเป็นตัวชี้วัดว่าระบบเศรษฐกิจมีการขยายตัว และจะไปหนุน USD แต่ถ้าตัวเลขใดออกมาต่ำกว่า 50 จะมีมุมมองว่าเศรษฐกิจหดตัว และมีแนวโน้มจะไปกดดันในส่วนของ USD

โดยตัวเลขที่ผ่านมาในช่วงเดือนก่อนหน้า จะเห็นว่าค่าจริงที่ออกมาจะเห็นว่าค่าจากสถาบัน ISM จะออกมาต่ำกว่าทางสถาบัน S&P Global เเต่ยังคงอยู่ในระดับสูงกว่า 50 หน่วย ซึ่งบ่งบอกถึงสภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงไม่ได้เเย่ลงมากนัก ซึ่งจากคาดการณ์รอบนี้จะเห็นว่าทั้งสองสถาบันยังคงให้มุมมองที่ 55.3 (S&P Global) และ 53.7 (ISM) ซึ่งแสดงถึงภาพรวมเศรษฐกิจที่เติบโตเล็กน้อย เเต่ด้วยความผันผวนในการประกาศตัวเลขรอบที่ผ่านมา ทำให้ในรอบนี้นักลงทุนอาจต้องติดตามค่าที่จะออกมาอย่างใกล้ชิดเป็นพิเศษ เพราะค่าคาดการณ์จากทั้งสองแหล่งมองว่าจะออกมาไม่เท่ากันด้วย

โค้ชนนท์

แบ่งปั่นบทความ

บทความที่น่าสนใจ

ข่าววันที่ 27/11/2024 : รายงานผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP)

GDP ย่อมาจาก Gross Domestic Product หรือผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ โดยเป็นการที่นับรายได้ที่เกิดขึ้นจากในประเทศเท่านั้น ไม่ว่าจะสัญชาติใดก็ตาม โดย GDP จะนับการคำนวณเฉพาะรายได้ที่เกิดขึ้นในประเทศเท่านั้น ไม่นับรายได้ที่ต่างประเทศ ถ้าหากค่า GDP ออกมาเป็นบวก แสดงถึงภาพรวมเศรษฐกิจที่มีการเติบโตขึ้น มีเม็ดเงินหมุนเวียนในประเทศมากขึ้น แต่สิ่งที่อาจตามมาได้ คือ อัตราเงินเฟ้อที่อาจจะสูงขึ้นได้เช่นกัน เพราะเมื่อคนมีความต้องการซื้อกันมากขึ้น สามารถดันให้ราคาสินค้าเพิ่มขึ้นมาได้ ถ้าหากค่า GDP ออกมาเป็นลบ แสดงถึงภาพรวมเศรษฐกิจที่มีการชะลอตัวลง มีเม็ดเงินหมุนเวียนในประเทศลดลง อย่างไรก็ตาม เมื่อ GDP คือ ค่าที่ใช้วัดความเจริญทางด้านเศรษฐกิจ ดังนั้น ถ้าหากค่า GDP ประเทศสหรัฐอเมริกา ออกมาที่สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้จะถือว่าเป็นลักษณะเชิงบวกต่อสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะกดดันให้ราคาทองปรับตัวลงได้ และในขณะที่ค่า GDP ประเทศสหรัฐอเมริกา ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ถือว่าเป็นลักษณะเชิงลบ สำหรับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะส่งผลให้ราคาทองปรับตัวขึ้นได้ ในคืนนี้ ค่า GDP ที่จะประกาศออกมาจะเป็นค่า GDP แบบ Preliminary ซึ่งเป็นตัวเลขที่เกิดจากการเก็บข้อมูลดิบ โดยตัวเลขที่จะประกาศวันนี้จะเป็นตัวเลขที่ไม่ใช่ Final GDP ทำให้ส่งผลต่อความผันผวนของราคาอาจจะยังไม่รุนแรงมากถ้าหากไม่ผิดคาดการณ์มากนัก โดยภาพรวมคาดการณ์ GDP ที่นักวิเคราะห์คาดการณ์กันไว้ที่ 2.8% ซึ่งถือว่าปรับตัวลดลงจากรอบ Final รอบที่แล้วเล็กน้อยด้วย โค้ชนนท์ พงศ์พล สุภกรรม

ข่าวรายวัน

ข่าว Existing Home Sales 21/11/2024

รายงานยอดขายบ้านมือสอง (Existing Home Sales) เป็นตัวเลขวัดการเปลี่ยนแปลงในจำนวนอาคารที่อยู่อาศัยมือสองทั้งบ้านเดี่ยวและคอนโดที่ถูกซื้อขายในเดือนที่ผ่านมา จัดทำโดย National Association of Realtors ซึ่งในรายงานจะแบ่งเป็นยอดขายและราคาขายในแต่ละโซนตามภูมิภาคของประเทศสหรัฐอเมริกา (Northeast, Midwest, South, West) โดยรายงานนี้จะสะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของตลาดอสังหาริมทรัพย์และเป็นดัชนีสำคัญที่ชี้วัดถึงความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจในภาพรวม โดยตัวเลขนี้จะเป็นตัวเลขที่อาจทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ พิจารณาเรื่องการปรับขึ้น หรือ ลดอัตราดอกเบี้ยได้ ซึ่งอัตราดอกเบี้ยนี้จะเป็นสิ่งที่ส่งผลบวกต่อค่าเงินดอลลาร์ ซึ่งกระทบในทางลบต่อราคาทองคำโดยตรง และสิ่งสำคัญอีกอย่างคือการแสดงออกถึงความเชื่อมั่นของผู้บริโภคอีกด้วย สำหรับตัวเลข Existing Home Sales ประจำเดือนกันยายนนี้ที่จะรายงานในคืนนี้ ถูกคาดการณ์ไว้ที่ 3.94 ล้านยูนิต ซึ่งคาดว่าจะมีปรับตัวขึ้นจากเดือนก่อนหน้าซึ่งค่าออกมาที่ 3.84 ล้านยูนิตเล็กน้อย ทั้งนี้ถ้าดูจากตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาในสัปดาห์ที่เเล้วที่ออกมาไม่ต่างจากคาดการณ์มากนัก ก็ส่งผลให้สามารถมองว่าตัวเลขยอดขายบ้านมือสองนี้ อาจออกมาใกล้เคียงกับคาดการณ์ได้ครับ บทความโดย โค้ชนนท์

ข่าวรายวัน

Core Retail Sales หรือ การรายงานยอดขายปลีกพื้นฐาน 15/11/2024

Core Retail Sales หรือ การรายงานยอดขายปลีกพื้นฐาน ถือเป็นดัชนีที่สำคัญมากที่สุด ที่บ่งชี้ถึงการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภค คือเป็นมูลค่ายอดขายสินค้า หรือบริการให้กับผู้บริโภคโดยตรง ซึ่งเป็นรายงานที่จะบ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงในมูลค่าทั้งหมดของยอดขายในธุรกิจขายปลีกทั้งหมดในประเทศสหรัฐอเมริกา ทั่วไปแล้วจะแบ่งออกเป็นหลายหมวดหมู่ เช่น ยอดขายเครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องแต่งกาย ของตกแต่งบ้าน อาหารและเครื่องดื่ม และอีกมากมาย แต่จะยกเว้นยอดขายของบริษัทรถยนต์และน้ำมัน โดยรายงานยอดค้าปลีกพื้นฐานนี้ จะเป็นตัวชี้วัดเศรษฐกิจที่สำคัญมาก และยังสามารถบ่งบอกแนวโน้มการขยายตัว หรือหดตัว ของเศรษฐกิจในอนาคตได้ด้วย โดยตัวเลขที่ออกมาหากมีค่าดีกว่าคาดการณ์จะเป็นผลบวกต่อค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ และตลาดหุ้น เนื่องจากยอดขายของแต่ละบริษัทก็จะมีแนวโน้มดีขึ้นด้วย แต่ในทางกลับกัน ก็จะกดดันราคาทองให้เกิดการปรับตัวลงได้เช่นเดียวกัน ในทางกลับกัน หากค่าที่ออกมาต่ำกว่าคาดการณ์ ก็จะกดดันค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะส่งผลบวกต่อราคาทอง ทำให้ราคาทองมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้ ในการรายงานครั้งที่ผ่านมา ตัวเลขยอดขายปลีกพื้นฐานออกมามากกว่าคาด ที่ 0.5% ซึ่งถือว่าเติบโตเยอะพอสมควร ซึ่งในส่วนของคืนนี้ค่าประมาณการที่ตลาดคาดจะอยู่ที่ 0.2% เท่าเดิมแสดงถึงมุมมองของนักลงทุนมองว่ายอดขายปลีกพื้นฐานอาจจะยังขยายตัวอยู่แต่ขยายตัวในระดับที่น้อยลงกว่าเดือนก่อนหน้าเล็กน้อยครับ บทความโดย โค้ชนนท์

ข่าวรายวัน
Message us