การปรับตัวในการเทรด เมื่อกลยุทธ์ที่ใช้ไม่สามารถทำกำไรได้เหมือนเดิม

การเทรดในตลาด Forex ที่มีความผันผวนและเปลี่ยนแปลงอย่างมากอยู่ตลอดเวลา กลยุทธ์หรือวิธีการเทรดที่เคยทำกำไรในอดีต อาจไม่สามารถทำกำไรได้เหมือนเดิม นี่เป็นเรื่องธรรมชาติที่เทรดเดอร์ทุกคนต้องเจอ แต่ที่จริงแล้วความสำเร็จในการเทรดไม่ได้อยู่ที่การหาวิธีการที่ “สมบูรณ์แบบ” เท่านั้น แต่มันขึ้นอยู่กับความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นตลอดในตลาด

ทำไมกลยุทธ์เดิมถึงไม่สามารถใช้ได้เหมือนเดิม ?

  • ตลาดเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา : ตลาด Forex มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ทั้งจากปัจจัยทางเศรษฐกิจ, การเปลี่ยนแปลงของนโยบายทางการเงิน, หรือเหตุการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้นบนโลกโดยที่เราที่ไม่คาดคิด เช่น การแพร่ระบาดของโรคระบาด สงคราม หรือวิกฤตทางการเงิน สิ่งเหล่านี้อาจทำให้กลยุทธ์เดิมที่เคยทำกำไรได้ดี ไม่สามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้
  • ความซับซ้อนที่เพิ่มขึ้นของวิธีการเทรดในตลาด : เมื่อเวลาผ่านไป เทคโนโลยี ความรู้ และวิธีการเทรดใหม่ ๆ เกิดขึ้น ซึ่งนักลงทุนหรือเทรดเดอร์บางคนก็พร้อมที่จะเรียนรู้ และนำเอาวิธีการใหม่ ๆ มาใช้กับการเทรดอยู่ตลอดเวลา ซึ่งอาจทำให้ตลาดมีความซับซ้อนมากขึ้น และกลยุทธ์ที่คุณใช้เริ่มมีประสิทธิภาพไม่เท่าเดิม

แล้วเทรดเดอร์จะทำยังไงเมื่อกลยุทธ์การเทรดแบบเดิมไม่ทำเงิน ?

  • ทบทวนและปรับปรุงกลยุทธ์ : การปรับตัวเรื่องนี้ ต้องเริ่มจากการยอมรับว่าตลาดเปลี่ยนแปลงไปแล้ว เทรดเดอร์ที่ดีควรเริ่มจากการทบทวนกลยุทธ์ที่คุณใช้ว่าเกิดปัญหาจากอะไร การตั้งคำถามว่าทำไมกลยุทธ์ที่เราทำอยู่ถึงไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดีเหมือนเดิม จะช่วยให้คุณเห็นจุดอ่อนและเริ่มปรับปรุงกลยุทธ์ได้
  • เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ : ตลาดมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เราควรที่จะเรียนรู้วิธีการใหม่ ๆ หรือการศึกษาแนวทางการเทรดที่แตกต่างไปจากเดิม เช่น การปรับใช้เทคนิคการเทรดรูปแบบใหม่ การเรียนรู้เครื่องมือการเทรดใหม่ หรือการศึกษาแนวคิดของนักเทรด นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ จะช่วยให้เราเปิดมุมมองใหม่ และทำให้สามารถปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับสภาพตลาดที่เปลี่ยนไปได้
  • ปรับ mindset ในการเทรด : บางครั้งการขาดทุนที่เกิดขึ้นอาจไม่ได้มาจากกลยุทธ์ที่ไม่ได้ในช่วงเวลานั้นเพียงอย่างเดียว แต่อาจมาจาก mindset ที่ไม่ยืดหยุ่นพอ เมื่อคุณพบว่าตลาดไม่เป็นไปตามที่คาด คุณควรปรับเปลี่ยนวิธีการคิด ยอมรับการขาดทุนอย่างมีเหตุผล และหาวิธีที่จะรับมือกับความเปลี่ยนแปลงให้ได้

การปรับตัวให้เข้ากับสภาวะตลาดให้ได้ เป็นทักษะสำคัญที่เทรดเดอร์ทุกคนต้องมี เมื่อกลยุทธ์เดิมที่เราใช้นั้นไม่สามารถทำกำไรได้เหมือนเคย สิ่งแรกที่ต้องทำคือ อย่าเพิ่งท้อ แต่ให้มองหาวิธีการใหม่ ๆ ที่จะเข้ากับสภาวะ หรือสถานการณ์ตลาดที่เป็นอยู่ในปัจจุบันให้ได้ พยายามเปิดใจรับการเรียนรู้และพัฒนากลยุทธ์ของตัวเองให้สอดคล้องกับสภาพตลาดที่เปลี่ยนไป แล้วคุณจะสามารถยืนหยัดและสร้างกำไรได้ในระยะยาว


โค้ชนนท์ พงศ์พล สุภกรรม

แบ่งปั่นบทความ

บทความที่น่าสนใจ

FOMO vs JOMO: เทรดยังไงให้ไม่โดนหลอก?

“เคยเป็นไหม? รีบเข้าซื้อเพราะกลัวตกรถ แต่สุดท้ายโดนเทขายใส่เต็มๆ” เห็นราคาทองพุ่งแรง ใจร้อนกลัวพลาด รีบกดซื้อ…พอเข้าปุ๊บ ราคากลับตัวร่วงเฉย หรือหุ้นบางตัวคนพูดถึงกันทั้งเมือง กลัวตกรถเลยรีบซื้อ…สุดท้ายติดดอยซะงั้น นี่แหละที่เรียกว่า FOMO (กลัวตกรถ) อาการที่ทำให้นักเทรดเสียเงินกันเยอะที่สุด! แต่รู้ไหม? เทรดเดอร์ที่อยู่รอดในตลาดได้นาน เค้าใช้หลักคิดแบบ JOMO (ดีใจที่พลาด) คือ ถ้าราคาไม่เข้าเงื่อนไข ก็ปล่อยผ่านไปเลย ไม่ต้องไล่ตาม เพราะโอกาสมีเสมอ! วันนี้ผมจะมาสอนวิธีเลิก FOMO เปลี่ยนเป็น JOMO เทรดยังไงให้ชัวร์ ไม่โดนตลาดหลอกง่ายๆ ไปดูกันเลย! FOMO (Fear of Missing Out) คืออะไร? FOMO คืออาการ “กลัวตกรถ” กลัวพลาดโอกาสทำกำไร จนรีบเข้าออเดอร์แบบไม่มีแผน เช่น: -เห็นราคาทองพุ่ง → รีบไล่ซื้อ → พอเข้าปุ๊บร่วง -เห็นคนอื่นบอกว่าหุ้นตัวนี้ดี → กลัวพลาดเลยรีบซื้อ → พอซื้อแล้วเจอเทขาย อาการของ FOMO เทรดเดอร์: JOMO (Joy of Missing Out) คืออะไร? JOMO คือ “มีความสุขกับการพลาด” หรือการยอมปล่อยโอกาสไป ถ้าราคายังไม่เข้าเงื่อนไขของแผนการเทรด เช่น: -รอให้ราคากลับมายังจุดที่ได้เปรียบ -รู้ว่าไม่มีจังหวะดี ก็ไม่เทรด รักษาเงินทุนไม่สนใจเสียงรอบข้าง เล่นตามแผนตัวเอง อาการของ JOMO เทรดเดอร์: เทรดยังไงให้ไม่โดนหลอก? 1. ตั้งเงื่อนไขให้ชัดก่อนเข้าเทรดถ้าราคายังไม่เข้าเงื่อนไข ห้ามเข้า เช่น 2. ใช้ Stop Loss & Plan การออกล่วงหน้าถ้าเทรดเพราะอารมณ์ มักจะไม่มีแผนออก จบที่ติดดอยเสมอ 3. หยุดดู Social Media เยอะเกินไปการดูข่าวหรือ Community เทรดเดอร์มากเกิน อาจทำให้ FOMO ตามอารมณ์คนอื่น ...

ความรู้ทั่วไป
Quantum Computing

Quantum Computing คืออะไรและมีความเป็นไปได้มากแค่ไหนที่จะสำเร็จในอนาคต

ในยุคที่เทคโนโลยีเติบโตอย่างรวดเร็ว คำว่า “Quantum Computing” หรือ “คอมพิวเตอร์ควอนตัม” ได้รับความสนใจอย่างมากในวงการเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ และธุรกิจ หลายคนอาจสงสัยว่า Quantum Computing คืออะไร ทำไมมันถึงเป็นหัวข้อที่ถูกพูดถึงกันอย่างกว้างขวาง และมีโอกาสมากแค่ไหนที่เทคโนโลยีนี้จะประสบความสำเร็จในอนาคต บทความนี้จะอธิบายพื้นฐานของ Quantum Computing พร้อมกับโอกาสและความท้าทายที่รออยู่ Quantum Computing หรือ “คอมพิวเตอร์ควอนตัม” เป็นรูปแบบการประมวลผลข้อมูลที่ใช้หลักการทางควอนตัมฟิสิกส์ (Quantum Physics) ซึ่งแตกต่างจากคอมพิวเตอร์แบบดั้งเดิมที่ใช้ระบบไบนารี (0 และ 1) ในการประมวลผลข้อมูล หลักการพื้นฐานของ Quantum Computing ต่างจากคอมพิวเตอร์ทั่วไปอย่างไร? คอมพิวเตอร์แบบดั้งเดิมต้องประมวลผลข้อมูลทีละขั้นตอน แต่ Quantum Computing สามารถประมวลผลหลายสถานะพร้อมกันได้ ซึ่งมีศักยภาพในการแก้ปัญหาที่ยากหรือเป็นไปไม่ได้สำหรับคอมพิวเตอร์ทั่วไป เช่น ความก้าวหน้าของ Quantum Computing ในปัจจุบัน ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา Quantum Computing ได้รับการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด หลายบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ เช่น Google, IBM, Microsoft และ D-Wave ได้ลงทุนในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีนี้อย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างความก้าวหน้าที่สำคัญ ได้แก่ ความท้าทายในการพัฒนา Quantum Computing แม้ว่า Quantum Computing จะมีศักยภาพสูง แต่ยังคงเผชิญกับความท้าทายหลายประการ เช่น ความเป็นไปได้ในอนาคตของ Quantum Computing ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า Quantum Computing จะมีบทบาทสำคัญในอนาคต โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่ต้องการการประมวลผลข้อมูลจำนวนมากและซับซ้อน เช่น ในระยะเวลา 10-20 ปีข้างหน้า คาดว่า Quantum Computing จะมีความก้าวหน้ามากขึ้น และอาจกลายเป็นเทคโนโลยีสำคัญในการแก้ไขปัญหาทางวิทยาศาสตร์และธุรกิจที่ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยวิธีการทั่วไป Quantum Computing เป็นเทคโนโลยีที่มีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงโลก แต่ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการพัฒนา แม้จะมีความท้าทายในการควบคุมและเสถียรภาพของระบบ แต่ด้วยความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และการลงทุนจากบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ เรามีโอกาสที่จะเห็น Quantum Computing กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนานวัตกรรมในอนาคต บทความโดย โค้ชอ๊อฟ กิตติวัฒน์ ...

ความรู้ทั่วไป
mm คืออะไร

เริ่มต้นปีใหม่ด้วยการตั้งเป้าหมายทางการเงินที่ชัดเจนและมีประสิทธิภาพ

mm คืออะไร ? ปีใหม่มักเป็นช่วงเวลาที่หลายคนตั้ง New Year Resolutions ไม่ว่าจะเป็นด้านงาน สุขภาพ ความรัก หรือแม้กระทั่งเรื่องสำคัญอย่าง การเงิน หรือ money management หากคุณยังไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร ลองมาดูเคล็ดลับง่ายๆ ในการตั้งเป้าหมายทางการเงินที่จะช่วยให้คุณจัดการเงินได้ดีขึ้นในปีนี้! พลาดในปี 2567 เริ่มใหม่ในปี 2568 อ่านบทความ : “ขาดทุนในปี 2567 ไม่ได้หมายความว่าคุณแพ้ สู้ต่อในปี 2568 เพื่อก้าวสู่ความสำเร็จ” 5 ข้อ money management เริ่มต้นปีใหม่ ตั้งเป้าหมายการเงินอย่างไรดี ? 1. ตั้งเป้าหมายการเงินให้ชัดเจน mm คืออะไร ? การมีเป้าหมายที่ชัดเจนเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการจัดการ การเงิน ไม่ว่าจะเป็นเป้าหมายระยะสั้นอย่างการเก็บเงินดาวน์รถ หรือเป้าหมายระยะยาวอย่างการเก็บเงินเพื่อเกษียณ การกำหนดเป้าหมายที่เป็นรูปธรรม เช่น “เก็บเงิน 200,000 บาทใน 2 ปีเพื่อดาวน์รถ” จะช่วยให้คุณสามารถวางแผนได้อย่างมีระบบและโฟกัสได้ดียิ่งขึ้น เคล็ดลับ: เปลี่ยนเป้าหมายให้เป็นตัวเลขที่จับต้องได้ พร้อมระบุระยะเวลา เช่นนี้จะทำให้เป้าหมายของคุณชัดเจนและง่ายต่อการวางแผน 2. money management กับการ วางแผนการเก็บเงินให้เหมาะสม หลังจากตั้งเป้าหมายชัดเจนแล้ว ขั้นตอนสำคัญคือการวางแผนเก็บเงินให้เหมาะสมกับเป้าหมายของเรา แต่ละเป้าหมายอาจมีวิธีการที่ต่างกัน บางครั้งการออมเงินอย่างเดียวก็เพียงพอ แต่บางครั้งอาจต้องเพิ่มการลงทุนหรือหาช่องทางสร้างรายได้เพิ่มเติม เช่น การเทรดทอง สิ่งสำคัญคือ การเทรดทองควรเป็นส่วนหนึ่งของแผน ไม่ใช่ทั้งหมด การผสมผสานระหว่างการออม การลงทุน และการเทรด จะช่วยให้เรามีทางเลือกและยืดหยุ่นในการเก็บเงินมากขึ้น ลองประเมินตัวเองว่าถนัดแบบไหน แล้วเริ่มต้นจากสิ่งที่เรามั่นใจที่สุด การวางแผนแบบนี้จะช่วยให้เรามุ่งสู่เป้าหมายได้อย่างมั่นคงและเป็นธรรมชาติครับ 3. ติดตามเป้าหมายอย่างใกล้ชิด การตั้งเป้าหมายเพียงอย่างเดียวไม่พอ คุณต้องติดตามผลอย่างต่อเนื่องด้วย อาจทำเป็นบันทึกหรือสรุปผลการเก็บเงินในแต่ละเดือน เช่น “เดือนนี้เก็บได้ 8,000 บาท เหลืออีก 192,000 บาทในอีก 24 เดือน” การติดตามจะช่วยให้คุณทราบว่าตัวเองอยู่ในจุดไหนของเป้าหมาย และปรับเปลี่ยนแผนได้ทันหากมีปัญหา ทริกพิเศษ: 4. ให้รางวัลตัวเองเมื่อถึงเป้าหมาย ...

ความรู้ทั่วไป
Message us